2025-01-06 HaiPress
สคบ. เตรียมดึงระบบเอไอช่วยตรวจสอบ "ขายตรง" พร้อมสรุปความคืบหน้าแก้กฎหมายขายตรง
น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการทำธุรกิจหลอกลวงประชาชน หรือธุรกิจขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่ ในส่วนของพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2560 ว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เป็นหน่วยงานกลางในการศึกษาและปรับปรุงข้อกฎหมาย ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา โดยให้เวลา 2 เดือน หรือให้แล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค. 2568 นี้ ขณะเดียวกันเพื่อป้องกันการทำธุรกิจขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาเพื่อและหาแนวทางป้องกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความรัดกุมมากขึ้นด้วย
ขณะที่มาตรการทำงานในระยะสั้นได้เตรียมตั้งคณะทำงาน เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียนทั้งหมด รวมถึงตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายเพื่อตั้งคณะทำงาน รวมทั้งอาจมีการศึกษาการนำระบบเอไอ มาใช้ในการตรวจสอบความผิดปกติในการประกอบธุรกิจร่วมด้วย ควบคู่ไปกับการปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม และเข้ากับบริบทในปัจจุบันมากขึ้นต่อไป
น.ส.จิราพร กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ห่วงใยและให้ความสำคัญกับปัญหาการทำธุรกิจที่หลอกลวงประชาชนซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการแก้ไขและหาแนวทางป้องกันในระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการหลอกลวงขึ้นอีก โดยรายงานจาก สคบ.พบว่าในปี 2566 ธุรกิจขายตรงมีมูลค่า 75,200 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในสมาคมขายตรงไทย ประมาณ 35,918 ล้านบาท และรายได้จากบริษัทที่อยู่ในสมาคมขายตรงไทย จำนวน 39,282 ล้านบาท